เปรตพระที่ถ้ำบนเขา





เปรตพระที่ถ้ำบนเขา
วันนี้เขียนลงอีกเรื่องแล้วกันครับ มีคนคอมเม้นแสดงความคิดเห็นโพสต์ที่แล้วเยอะ เห็นแล้วมีกำลังใจเขียนเรื่องนี้ต่อ
#ชยาเป็นคนเล่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเจอมากับตัวครับ เรื่องอาจไม่มีสตอรี่อะไรมาก แต่ก็ถือเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เจอแบบจังๆ กลางวันแสกๆ
เรื่องมีอยู่ว่า
.
.
.
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มหาลัยผมพึ่งจะสอบเสร็จครับ นักศึกษาหลายคนยังไม่กลับย้านเพราะต้องรอเคลียร์งานค้างต่างๆ ผมก็เป็นหนึ่งคนที่ยังไม่กลับบ้าน เพราะนอกจากจะต้องจัดการงานค้างต่างๆ แล้ว ยังเป็นช่วงที่เหมาะกับการขับรถเที่ยวชิวๆ ก่อนไปพักผ่อนยาวที่บ้าน
จังหวัดที่ผมเรียนอยู่มีภูเขาเยอะมากครับ ที่เที่่ยวส่วนใหญ่ก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยเฉพาะผมที่ชอบเที่ยวตามวัดวาอารามด้วย วัดที่มีธรรมชาติงดงามจึงเป็นสถานที่ปักหมุดต้นๆ ของผมครับ
ช่วงก่อนหน้านั้นหลายวันผมก็บ่นกับพี่คนนึงที่สนิทกันว่าเบื่อๆ ไม่มีอะไรจะทำ อยากไปเที่ยวโน่นนี่ ตามประสานักศึกษามหาลัยพึ่งจะสัมผัสคำว่าว่างครับ วันก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องพี่ผมคนนี้เลยส่งรีวิววัดถ้ำแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงพอสมควรเรื่องหินงอกหินย้อยที่งดงามมาให้ดู
พี่ : วัดถ้ำ.... เคยไปยัง?
ผม : ยังๆ
พี่ : ไปมั้ย?
ผม : ไปๆ พรุ่งนี้เลยมั้ย
พี่ : เคๆ
.
.
.
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทำภารกิจส่วนตัวเรียบร้อยแล้วผมก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปรับพี่ที่หอครับ อากาศวันนั้นถือว่าดีเหมาะแก่การเที่ยวมากเพราะไม่มีแดดเลย เราออกเดินทางกันประมาณ 11 โมงครับ ระหว่างทางมีฝนพรำนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเปียก ทางเข้าค่อนข้างคดเคี้ยวพอสมควร ต้องผ่านไร่นาและสวนยางของชาวบ้านเข้าไป ผมขับรถมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่หมายใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงครับ
พอมาถึงวัดก็มองหาถ้ำแต่ก็ต้องผิดหวังกันครับ เพราะเป็นช่วงหน้าฝน ทางวัดเลยปิดถ้ำเพราะไม่สะดวกในการลงไป และป้องกันอันตรายจากการลื่นล้มต่างๆ ผมกับพี่จึงได้แค่ไหว้พระและขอพรพญานาคหน้าปากถ้ำครับ
พอที่หมายแรกล้มเหลวไปแล้วเราจึงมองหาที่หมายใหม่ใกล้ๆ กัน ระหว่างทางที่เราผ่านมามีป้ายบอกทางไปยังวัดถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปจากถ้ำนี้ไม่ไกลนัก เราจคงตัดสินใจไปต่อกัน ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่าตั้งใจมาเข้าถ้ำยังไงวันนี้ก็ต้องได้เข้าถ้ำ ขับผ่านทางมาสักพัก แวะถามทางชาวบ้านจนมาถึงที่หมายแห่งใหม่ในเวลาไม่นานนัก
สภาพแรกที่เราเห็นคือวัดที่อยู่เชิงเขา มีร่องรอยของวัดที่เจริญในอดีต มีกุฏิพระที่เหมือนร้างไม่มีพระอยู่หลายหลังเรียงรายกันตรงทางเข้าวัด และมีศาลาประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ลึกสุด ด้านซ้ายมือมีขั้นบันไดไต่ไปบนภูเขา คาดว่าคงเป็นทางขึ้นถ้ำ ตอนเราไปถึงมีกลุ่มวัยรุ่นอายุราวๆ เดียวกับพวกเราสามสี่คนเดินลงมาจากเขา แต่เราก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรกัน พอพักหายใจหายคอกันสักพักผมก็ชวนพี่ไปไหว้พระที่ศาลาก่อนโดยใช้ธูปเทียนที่ผมพกใส่ใต้เบาะมอเตอร์ไซค์ไปด้วย(ก่อนเข้าถ้ำทุกครั้งผมจะไหว้ขออนุญาตเจ้าของเขาก่อนทุกครั้งจึงพกมาไว้ด้วย)พอไหว้ขออนุญาตเสร็จก็วางที่เหลือไว้หน้าพระเลยเผื่อให้คนอื่นที่มาทีหลังได้ใช้ด้วย
พอไหว้พระเสร็จผมกับพี่ก็เริ่มเดินขึ้นเขาไปตามบันได ระหว่างทางมีทั้งตะไคร่น้ำ ทั้งยุงป่า ตามธรรมชาติของป่าเขา มีเศษชยะ ขวดเครื่องดื่มเกลือแร่ที่ถูกทิ้งไว้ประปราย เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ พอเริ่มหอบก็ถึงปากถ้ำ
7
ถ้ำที่เห็นเป็นถ้ำหินปูน ไม่ค่อยมีหินงอกหินย้อยมากนัก มีปากทางเข้าสองทาง ทางแรกที่เป็นปากถ้ำใหญ่มองเข้าไปเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งอยู่ มีกระเบื้องปูพืเนเรียบร้อยแต่ค่อนข้างสกปรก มีฆ้องแขวนไว้หน้าปากถ้ำ ผมกับพี่เข้าไปไหว้พระข้างในแล้วเริ่มเดินสำรวจ ไปได้นิดเดียวก็สุดถ้ำ ถ้ำทั้งสองฝั่งไม่ได้ทะลุหากันแต่กลิ่นมูลค้างคาวทั้งสองฝั่งค่อนข้างเหม็นมากๆ(ถ้ำนี้มีชื่อเรื่องชมค้างคาวครับ) อยู่ได้ไม่นานก็ต้องเดินออกมาเพราะทนกลิ่นไม่ไหว พอเดินออกมาผมก็เผอิญเจอฆ้องที่ห้อยไว้ เลยเดินไปตีสามทีพร้อมตะโกนเล่นตลกๆ ว่า
"ในนี้มีใครอยู่ไหมคร้าบบๆๆ"
พี่ที่ไปด้วยแกก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะแกชินกับอาการปากไม่ปกติของผม ก็ไม่ได้คิดอะไรกันมาก จนเดินออกมาแล้วข้ามหินไปเข้าถ้ำอีกฝั่งหนึ่ง โดยพี่ผมเป็นคนเดินเข้าไปก่อน
พี่ : เห้ยคลาสตรงนี้มีช่องทะลุ
เสียงพี่ผมร้องบอกผมเลยเดินตามไปดู สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือกลิ่นมูลค้างคาวเช่นเดิมและกระต๊อบยกพื้นสูงซึ่งน่าจะเป็นที่สำหรับพระขึ้นมาปฏิบัติธรรมในถ้ำ สภาพทรุดโทรมแบบไม่สามารถใช้การได้แล้ว มีผ้าจีวรเก่าๆ กางบังไว้แทนประตู ผมเดินผ่านไปโดยไม่ได้ใส่ใจมันมาก พอเดินไปถึงปล่องที่ทะลุเห็นท้องฟ้าด้านนอกผมเห็นว่าไม่มีอะไรมากจึงเดินกลับออกมาก่อน
ช่วงที่เดินผ่านกระต๊อบนั้นผมก็รู้สึกเหมือนมวลอะไรซักอย่างมากระทบวืดผ่านตัวผมไป มันไม่เหมือนลม แต่เหมือนคลื่นอะไรซักอย่าง ในใจก็พอรู้อยู่แล้วเลยเหลือบตามองข้างหลังที่เดินผ่านมา(ปกติผมจะเห็นอะไรแบบนี้ตรงแถวๆ หางตา) สิ่งที่ผมเห็นวูบผ่านไปคือผู้ชายหัวโล้นตัวค่อนข้างสันทัด ผิวดำเหมือนคนกรำแดด ใส่สบงและอังสะเหมือนพระแต่ไม่ใส่จีวรคลุม เดินวกไปมาเหมือนเดินจงกลม แบะมีไอดำๆ เหมือนควันลอยเอื่อยๆ เหมือนควันไฟจากเตาถ่านลอยออกมาเต็มตัวไปหมด วินาทีนั้นผมพยายามไม่สนใจแล้วรีบเดินออกมารอพี่ที่บันไดหน้าถ้ำ
ผมยังไม่ได้เล่าให้พี่ฟังจนเดินลงมาข้างล่างแล้วขับมอเตอร์ไซค์ออกจากเขตวัดจึงได้เล่าว่าเจออะไร แถมวันนั้นผมกับพี่ยังหลงทางกลับทั้งที่ไม่น่าหลง สรุปวันนั้นขับรถไปกลับกว่าจะหาทางกลับหอได้ร่วม 200 กิโล พอมีโอกาสผมจึงได้ถามพระครูฯ ท่านทีหลัง ท่านก็บอกว่านั่นเป็นเปรตที่มีใจยึดมั่นยึดติดกับสถานที่ว่าเป็นของตน พอตายไปจิตก็ไปเกาะติดกับสถานที่ กลายเป็นเปรตรับทุกขเวทนาเฝ้าสถานที่ของตนไป
ผมไม่รู้ว่าเปรตพระที่เจอนั้นเฝ้าถ้ำนี้มานานเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์เจอจังๆ กลางวันแสกๆ หนึ่งในไม่กี่เรื่องที่เจอมา และทำให้ผมเลิกหวงของไปเลยครับ.
จบแล้วครับเรื่องเปรตพระที่ถ้ำบนเขา พยายามจะเล่ารายละเอียดให้ครบที่สุด อาจจะอ่านงงๆ ไปบ้างก็รบกวนเม้นติชมกันด้วยนะครับ จะได้เป็นกำลังใจเขียนเรื่องต่อไป
ตามแท็ก #ชยาเป็นคนเล่า ให้กำลังใจกันได้นะครับผม ขอบคุณมากครับที่อ่านจนจบ

ความคิดเห็น

  1. มหาวิทยาลัยราชภัฏเลยรึเผล่าครับ ? วัดถ้ำที่ว่านั่นวัดถ้ำสาริการึเปล่าครับ ขอทราบทีนะครับ ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อยู่ จ.เลยครับ แน่นอนว่ามีมหาวิทยาลัยเดียว ส่วนถ้ำไม่ใช่ถ้ำสาริกาแน่นอนครับ แต่ที่ไหนคงบอกไม่ได้เพราะอาจกระทบต่อชุมชนครับ

      ลบ
    2. ขอบคุณครับบบ ผมเป็นรุ่นน้องนะครับ เเค่นี้ก็ดีใจเเล้วครับที่ตอบ ผมพอรู้ชื่อวัดเเล้วครับ ขอบคุณครับ

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อาถรรพ์อาชีพหมอดู

ผีนางอัปสรา ปราสาทขอม

เกล้านางนี เมาลีโพธิสัตว์